tag:blogger.com,1999:blog-35063086581064193522024-02-21T01:37:58.511+07:00sumaleeสวัสดีค่ะ สุมาลี แกล้วกล้า ครูอุ๊.. โรงเรียนวัดเกตุน้อยsumaleehttp://www.blogger.com/profile/09520391299368706291noreply@blogger.comBlogger9125tag:blogger.com,1999:blog-3506308658106419352.post-75702772738193863312008-02-17T14:38:00.004+07:002008-12-12T15:37:36.825+07:00<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh5Tv7gcHdJx_etSXqSF_NkU1atxWuOlcwchNaPq3K6etcBVR_HxxGEfAwCMSb3-QjXv9XN5UK0zuVExS3WLG-LvvkMbh0YXS9iVhIdeTrTHiSmt2QakPjBgUaxKZsRmIww10ziLJqZMEE2/s1600-h/Snapshot_20080216_33.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5167863794749614866" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh5Tv7gcHdJx_etSXqSF_NkU1atxWuOlcwchNaPq3K6etcBVR_HxxGEfAwCMSb3-QjXv9XN5UK0zuVExS3WLG-LvvkMbh0YXS9iVhIdeTrTHiSmt2QakPjBgUaxKZsRmIww10ziLJqZMEE2/s320/Snapshot_20080216_33.jpg" border="0" /></a><br /><marquee><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#3333ff;"><strong>สวัสดีค่ะท่านผู้ชมทุกท่าน............</strong></span></marquee>sumaleehttp://www.blogger.com/profile/09520391299368706291noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3506308658106419352.post-13156966118485746522008-01-29T17:24:00.000+07:002008-12-12T15:37:36.971+07:00กระเทียมโทนสามรส จุฑาทอง<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiSPyZlS_woi-qXOyitpStdM4BtQyuskT8205gRhMNTUse03WL04KebbKAejDf8sFfHK0Xt_xn526Vwg4JTDqYOeFiHhiKMaK0uHb2WifGKipmzZ_SHMf-_0vD8NJNDr3-3XijwyB06BEZC/s1600-h/%C3%A0%C2%B8%C2%A3%C3%A0%C2%B8%C2%B9%C3%A0%C2%B8%E2%80%BA%C3%A0%C2%B8%C2%81%C3%A0%C2%B8%C2%A3%C3%A0%C2%B8%C2%B0%C3%A0%C2%B9%E2%82%AC%C3%A0%C2%B8%EF%BF%BD[1].jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5160843243441742370" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiSPyZlS_woi-qXOyitpStdM4BtQyuskT8205gRhMNTUse03WL04KebbKAejDf8sFfHK0Xt_xn526Vwg4JTDqYOeFiHhiKMaK0uHb2WifGKipmzZ_SHMf-_0vD8NJNDr3-3XijwyB06BEZC/s320/%25C3%25A0%25C2%25B8%25C2%25A3%25C3%25A0%25C2%25B8%25C2%25B9%25C3%25A0%25C2%25B8%25E2%2580%25BA%25C3%25A0%25C2%25B8%25C2%2581%25C3%25A0%25C2%25B8%25C2%25A3%25C3%25A0%25C2%25B8%25C2%25B0%25C3%25A0%25C2%25B9%25E2%2582%25AC%25C3%25A0%25C2%25B8%25E2%5B1%5D.jpg" border="0" /></a><br /><div>ข้อมูลรายละเอียดสินค้าหัสผลิตภัณฑ์ (Code): 700718-B001ผลิตภัณฑ์ (Product) กระเทียมโทนสามรส จุฑาทองรายละเอียดผลิตภัณฑ์กระเทียมโทนสามรส จุฑาทอง ขวดใหญ่ (2649)ขนาด (Size : cm) กว้าง เส้นผ่านศูนย์กลาง 6 เซนติเมตรสูง 15 เซนติเมตรน้ำหนัก (Weight : g)655 กรัมราคาขายส่ง 55 บาท ราคาขายปลีก 75 บาทสินค้าสุดยอดหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ 2547ประเภทผลิตภัณฑ์ :อาหารระดับดาว :มาตรฐาน อย : 70-2-00845-2-0001สถานที่จำหน่าย กลุ่มกระเทียมโทนสามรสจุฑาทอง 123 หมู่ที่ 7ตำบลเขาชะงุ้ม อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี 70120ติดต่อ : คุณชาลิสา กมลจรัสธาราโทร : 06-1738825032-359804 (บ้านพักวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีราชบุรี</div>sumaleehttp://www.blogger.com/profile/09520391299368706291noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3506308658106419352.post-71076839290911365832008-01-29T17:23:00.000+07:002008-12-12T15:37:37.139+07:00สมาคมเครื่องเคลือบดินเผาจังหวัดราชบุรี<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEii1Zcgx8U2D0tIcEyEeA43KZWONmyXFZ1EIHFKrW6yb3KKTzx-rHOYN1wo-fUD1YUIFGkdEdeTc-IvkulBUdGEYM4NfnnAncgeKusFYl-2F3wM73j2QyYwCw1b_ApSMkBQPosaGRRnGdmY/s1600-h/%C3%A0%C2%B8%C2%81%C3%A0%C2%B8%C2%A3%C3%A0%C2%B8%C2%B0%C3%A0%C2%B8%E2%80%93%C3%A0%C2%B8%C2%B2%C3%A0%C2%B8%E2%80%A1[1].jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5160844669370884658" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEii1Zcgx8U2D0tIcEyEeA43KZWONmyXFZ1EIHFKrW6yb3KKTzx-rHOYN1wo-fUD1YUIFGkdEdeTc-IvkulBUdGEYM4NfnnAncgeKusFYl-2F3wM73j2QyYwCw1b_ApSMkBQPosaGRRnGdmY/s320/%25C3%25A0%25C2%25B8%25C2%2581%25C3%25A0%25C2%25B8%25C2%25A3%25C3%25A0%25C2%25B8%25C2%25B0%25C3%25A0%25C2%25B8%25E2%2580%2593%25C3%25A0%25C2%25B8%25C2%25B2%25C3%25A0%25C2%25B8%25E2%2580%25A1%5B1%5D.jpg" border="0" /></a><br /><div>ข้อมูลรายละเอียดสินค้ารหัสผลิตภัณฑ์ (Code): 700117-A01ผลิตภัณฑ์ (Product) กระถางดินเผารายละเอียดผลิตภัณฑ์ผลิตภัณฑ์กระถางดินเผา มีหลายรูปแบบและหลายขนาดทั้งมีลวดลายและไม่มีลาย โดยใช้ดินเหนียวในพื้นที่ซึ่งมีคุณภาพดี แข็งแรงทนทาน สีสวย (OTOP) น้ำหนัก (Weight : g)1,500 กรัมราคาขายส่ง 50 บาทราคาขายปลีก 100 บาทวัตถุดิบที่ใช้ดินเหนียว, ทรายละเอียด, แกลบสถานที่จำหน่าย สมาคมเครื่องเคลือบดินเผาจังหวัดราชบุรี 87/2 หมู่ 4ต.หลุมดิน อ.เมือง จ.ราชบุรี 70000 ติดต่อ : นางสาวจุรีรัตน์ โฆษะบดีโทร :032 312932, 01 9432815</div>sumaleehttp://www.blogger.com/profile/09520391299368706291noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3506308658106419352.post-36570705245550565732008-01-29T17:21:00.000+07:002008-12-12T15:37:37.326+07:00ภูมิปัญญาไทย<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhWUCR-bsdEfBcUqmhN8O0oURzIuExx4vUYKADXA_8vsC-YbJRNrVOpyAxiF7SceiQa1NjcMMBYWLqalqnnW-3RIuAVIq46SMbkYdLFHRmJG47V5iMEdFu_v-tzXpetB7YtnxPwnegBNCbP/s1600-h/%C3%A0%C2%B8%C2%81%C3%A0%C2%B8%C2%A7%C3%A0%C2%B8%C2%B2%C3%A0%C2%B8%E2%80%A1[1].jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5160845128932385346" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhWUCR-bsdEfBcUqmhN8O0oURzIuExx4vUYKADXA_8vsC-YbJRNrVOpyAxiF7SceiQa1NjcMMBYWLqalqnnW-3RIuAVIq46SMbkYdLFHRmJG47V5iMEdFu_v-tzXpetB7YtnxPwnegBNCbP/s320/%25C3%25A0%25C2%25B8%25C2%2581%25C3%25A0%25C2%25B8%25C2%25A7%25C3%25A0%25C2%25B8%25C2%25B2%25C3%25A0%25C2%25B8%25E2%2580%25A1%5B1%5D.jpg" border="0" /></a><br /><div><span style="color:#ff0000;">ผลิตภัณฑ์ทองเหลือง</span><br />ข้อมูลรายละเอียดสินค้า<br />รหัสผลิตภัณฑ์ (Code): 700103-A107ผลิตภัณฑ์ (Product) กวางรายละเอียดผลิตภัณฑ์มี 3 ขนาด- ใหญ่ กว้าง 17 ซม. ยาว 15 ซม.ขายส่ง 1200 บาท ขายปลีก 1500 บาทกลาง กว้าง 12 ซม. ยาว 10 ซม. ขายส่ง 1000 บาท ขายปลีก 1200 บาทเล็ก กว้าง 7 ซม. ยาว 5 ซม. ขายส่ง 500 บาท ขายปลีก 700 บาทวัตถุดิบที่ใช้ทองเหลืองสถานที่จำหน่าย กลุ่มผลิตภัณฑ์ทองเหลือง42 หมู่ 7 บ้านเขาลอย ต.ดอนตะโกอ.เมือง จ.ราชบุรี 70000ติดต่อ : นางบัวพาน เลิศจิตรโทร : 032 327554, 09 9043874<a href="http://www.thaitambon.com/">http://www.thaitambon.com/</a><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEglAFba0metAvBYc0T2k9PPh7wNgRcYWtRaoV86nzpJjI6DZEroJ_l56cUu7n7hhqD5Xy5sLkJLKSWJw7Sq_bN9tiAmjybD-SP3o4ES8YWdshPpbtsuGM7uZBNabzpLx39VaCHWQjkKafLv/s1600-h/à¸à¸£à¸°à¸–าง.jpg"></a> <a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEglAFba0metAvBYc0T2k9PPh7wNgRcYWtRaoV86nzpJjI6DZEroJ_l56cUu7n7hhqD5Xy5sLkJLKSWJw7Sq_bN9tiAmjybD-SP3o4ES8YWdshPpbtsuGM7uZBNabzpLx39VaCHWQjkKafLv/s1600-h/à¸à¸£à¸°à¸–าง.jpg"></a><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEglAFba0metAvBYc0T2k9PPh7wNgRcYWtRaoV86nzpJjI6DZEroJ_l56cUu7n7hhqD5Xy5sLkJLKSWJw7Sq_bN9tiAmjybD-SP3o4ES8YWdshPpbtsuGM7uZBNabzpLx39VaCHWQjkKafLv/s1600-h/à¸à¸£à¸°à¸–าง.jpg"></a>สมาคมเครื่องเคลือบดินเผาจังหวัดราชบุรีข้อมูลรายละเอียดสินค้ารหัสผลิตภัณฑ์ (Code): 700117-A01ผลิตภัณฑ์ (Product) กระถางดินเผารายละเอียดผลิตภัณฑ์ผลิตภัณฑ์กระถางดินเผา มีหลายรูปแบบและหลายขนาดทั้งมีลวดลายและไม่มีลาย โดยใช้ดินเหนียวในพื้นที่ซึ่งมีคุณภาพดี แข็งแรงทนทาน สีสวย (OTOP) น้ำหนัก (Weight : g)1,500 กรัมราคาขายส่ง 50 บาทราคาขายปลีก 100 บาทวัตถุดิบที่ใช้ดินเหนียว, ทรายละเอียด, แกลบสถานที่จำหน่าย สมาคมเครื่องเคลือบดินเผาจังหวัดราชบุรี 87/2 หมู่ 4ต.หลุมดิน อ.เมือง จ.ราชบุรี 70000 ติดต่อ : นางสาวจุรีรัตน์ โฆษะบดีโทร :032 312932, 01 9432815</div>sumaleehttp://www.blogger.com/profile/09520391299368706291noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3506308658106419352.post-64674044931637667632008-01-29T17:19:00.000+07:002008-12-12T15:37:37.467+07:00โครงการฝนหลวง<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgJLxLouk6cPBWG8-OG7wWqdn9xhoKFoLHL2fzSYgLHpTrbtBoF4gkExcRqltN44m-Sc6Pi5qdTNQzZfry3wY1DgDU3yBrRj6Ml1UYUa36KkXzpcBJG_LO1JZNLyHjIJgCj-zJXmkzElbDl/s1600-h/à ¸âà ¹â°Ã ¸­à ¸â¡Ã ¸Ÿà ¹â°Ã ¸²[1].jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5160845511184474706" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgJLxLouk6cPBWG8-OG7wWqdn9xhoKFoLHL2fzSYgLHpTrbtBoF4gkExcRqltN44m-Sc6Pi5qdTNQzZfry3wY1DgDU3yBrRj6Ml1UYUa36KkXzpcBJG_LO1JZNLyHjIJgCj-zJXmkzElbDl/s320/%25C3%25A0%25C2%25B8%25E2%2580%2594%25C3%25A0%25C2%25B9%25E2%2580%25B0%25C3%25A0%25C2%25B8%25C2%25AD%25C3%25A0%25C2%25B8%25E2%2580%25A1%25C3%25A0%25C2%25B8%25C5%25B8%25C3%25A0%25C2%25B9%25E2%2580%25B0%25C3%25A0%25C2%25B8%25C2%25B2%5B1%5D.jpg" border="0" /></a><br /><div>จากการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จเยี่ยมราษฎรในจังหวัดต่างๆเป็นประจำ ได้ทรง<br />พบเห็นท้องถิ่นหลายๆแห่งประสบปัญหาความแห้งแล้ง หรือขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค และการทำ<br />เกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูเพาะปลูก เกษตรกรจะประสบความเดือดร้อน ทุกข์ยากมาก เนื่องจากบางครั้ง<br />ฝนได้ทิ้งช่วงนานหรือภาวะฝนทิ้งช่วงเกิดในระยะวิกฤติของพืชผล คือพืชอยู่ในระยะที่กำลังให้ผลผลิตต่ำ หรือ<br />อาจจะไม่มี ผลผลิตให้เลย เป็นต้น ดังนั้นภาวะฝนแล้ง หรือฝนทิ้งช่วงใน แต่ละครั้ง/แต่ละปีจึงสร้างความ<br />เดือดร้อน และความสูญเสียทางเศรษฐกิจแก่เกษตรกรเป็นอย่างสูง นอกจากนี้ภาวะความต้องการใช้น้ำนับวัน<br />จะทวีปริมาณความต้องการเพิ่มสูงขึ้นตามอัตราการเพิ่มของประชากร การขยายพื้นที่เกษตรกรรมและการเจริญ<br />เติบตของกลุ่มอุตสาหกรรม ด้วยสายพระเนตรที่ยาวไกลและทรง ความอัจฉริยะในพระองค์ท่านดังนั้นในปี<br />พุทธศักราช2498จึงได้มีพระราชดำริค้นหาวิธีการ ที่จะทำให้เกิดฝนตกนอกเหนือจากที่จะได้รับ จากธรรมชาติ<br />โดยนำเทคโนโลยีนำสมัยและทรัพยากร ที่มีอยู่ประยุกต์กับศักยภาพของการเกิดฝน ในเขตร้อน เช่น ประเทศไทย<br />มุ่งขจัดปัญหา ความเดือดร้อนดังกล่าว และทรงมีพระราชหฤทัย เชื่อมั่นว่าวิธีการดังกล่าวนี้ จะทำให้ การพัฒนา<br />ระบบการจัดทรัพยากรน้ำของชาติเกิด ความพร้อมและครบบริบูรณ์ตามวัฏจักรของ น้ำ คือ1. การพัฒนาระบบ การจัดการทรัพยากรแหล่งน้ำใต้ดิน2. การพัฒนาระบบ การจัดการทรัพยากรแหล่งน้ำผิวดิน3. การพัฒนา การ จัดการทรัพยากรแหล่งน้ำใน บรรยากาศและทรงเชื่อมั่นในพระราชหฤทัย ว่าด้วย ลักษณะภูมิประเทศและภูมิอากาศ ของประเทศจะ สามารถดำเนินการ<br />ให้บังเกิดผลสำเร็จได้ อย่างแน่นอนดังนั้น ในปี พุทธศักราช 2499 จึงได้ทรง พระมหากรุณาพระราชทาน โครงการพระราชดำริ "ฝนหลวง"<br />ให้หม่อมราชวงศ์ เทพฤทธิ์ เทวกุล รับไปดำเนินการ ศึกษา วิจัย และ การพัฒนา กรรมวิธีการทำฝนให้บังเกิดผลโดยเร็วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงกำหนดขั้นตอนของกรรมวิธีการทำฝนหลวงขึ้นเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายๆ ตามลำดับ ดังนี้ขั้นตอนที่หนึ่ง : "ก่อกวน" เป็นขั้นตอนที่เมฆธรรมชาติ เริ่มก่อตัวทางแนวตั้ง การปฏิบัติการฝนหลวง ในขั้นตอนนี้ จะมุ่ง<br />ใช้สารเคมีไปกระตุ้น ให้มวลอากาศเกิดการลอยตัวขึ้นสู่ เบื้องบน เพื่อให้เกิดกระบวนการชักนำไอน้ำ หรือ ความชื้นเข้า<br />สู่ระบบการเกิด เมฆ ระยะ เวลาที่จะปฏิบัติการในขั้นตอนนี้ ไม่ควรเกิน 10.00 น. ของแต่ละวัน โดยการใช้<br />สารเคมีที่สามารถดูดซับไอน้ำจากมวล อากาศได้ แม้จะมีเปอร์เซ็นต์ความชื้นสัมพัทธ์ ต่ำ (มี ค่า Critical relative<br />humidity ต่ำ)เพื่อกระตุ้น กลไกของกระบวนการกลั่นตัวไอน้ำในมวล อากาศ (เป็นการสร้าง Surrounding<br />ให้เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเมฆด้วย) ทางด้านเหนือ ลมของพื้นที่เป้าหมาย เมื่อเมฆเริ่มเกิด มีการก่อตัว และ<br />เจริญเติบโตทางตั้งแล้ว จึงใช้สารเคมีที่ให้ปฏิกิริยาคาย ความร้อนโปรยเป็นวงกลม หรือเป็นแนวถัดมา ทางใต้ลมเป็นระยะ<br />ทางสั้นๆ เข้าสู่ก้อนเมฆ เพื่อกระตุ้นให้เกิดกลุ่มแกนร่วม(main cloud core) ในบริเวณ ปฏิบัติการสำหรับใช้<br />เป็นศูนย์กลาง ที่ จะสร้างกลุ่มเมฆฝนในขั้นตอนต่อไปขั้นตอน ที่ สอง : "เลี้ยง ให้ อ้วน" เป็นขั้นตอนที่เมฆกำลัง ก่อตัวเจริญเติบโตซึ่งเป็นระยะสำคัญมาก ในการปฏิบัติการ<br />ฝนหลวง เพราะจะต้องไป เพิ่มพลังงานให้แก่ updraft ให้ยาวนานออกไป ต้อง ใช้เทคโนโลยีและประสบการณ์หรือ<br />ศิลปะแห่ง การทำฝนควบคู่ไปพร้อมๆ กัน เพื่อตัดสินใจ โปรยสารเคมีฝนหลวงชนิดใด ณ ที่ใดของกลุ่ม ก้อนเมฆ และ<br />ในอัตราใดจึงเหมาะสม เพราะ ต้องให้กระบวนการเกิดละอองเมฆสมดุล กับความแรงของ updraft มิฉะนั้นจะ<br />ทำให้เมฆ สลายขั้นตอน ที่ สาม : "โจมตี" เป็นขั้นตอนสุดท้ายของกรรมวิธี ปฏิบัติการฝนหลวง เมฆ หรือ กลุ่มเมฆฝนมี ความหนา<br />แน่นมากพอที่จะสามารถตกเป็น ฝนได้ ภายในกลุ่มเมฆจะมีเม็ดน้ำขนาดใหญ่มากมาย หากเครื่องบินบินเข้าไปใน<br />กลุ่มเมฆฝนนี้ จะมีเม็ดน้ำเกาะตามปีก และกระจังหน้า ของเครื่องบิน เป็นขั้นตอนที่สำคัญ และอาศัย ประสบการณ์มาก<br />เพราะจะต้องปฏิบัติการเพื่อ ลดความรุนแรงของ updraft หรือทำให้อายุของ updraft หมดไป สำหรับการ<br />ปฏิบัติการในขั้นตอนนี้ จะต้องพิจารณาจุดมุ่งหมายของการทำฝนหลวง ซึ่งมีอยู่ 2 ประเด็นคือเพื่อเพิ่มปริมาณฝนตก<br />(Rain enhancement) และเพื่อให้เกิดการกระจายการตกของฝน (Rain redistribution)เครื่องมือและอุปกรณ์สำคัญที่ใช้ประกอบในการทำฝนหลวง1. เครื่องมืออุตุนิยมวิทยา ใช้ใน การตรวจวัด และศึกษาสภาพอากาศประกอบการ วางแผนปฏิบัติการ นอกเหนือจาก<br />แผนที่อากาศ ภาพถ่าย ดาวเทียมที่ได้รับสนับสนุนเป็นประจำวัน จาก กรมอุตุนิยมวิทยาที่มีใช้ได้แก่<br />1.1 เครื่องวัดลมชั้นบน (Pilot Balloon) ใช้ตรวจวัดทิศทางและความเร็ว ลมระดับสูงจากผิวดินขึ้นไป<br />1.2 เครื่องวิทยุหยั่งอากาศ (Radiosonde) เป็นเครื่องมือ อิเล็คทรอนิคส์ประกอบด้วยเครื่องส่งวิทยุ<br />ซึ่งจะ ติดไปกับบอลลูน และเครื่องรับสัญญาณวิทย ุ ซึ่งจะบอกให้ทราบถึงข้อมูลอุณหภูมิความชื้น<br />ของบรรยากาศในระดับต่างๆ<br />1.3 เครื่องเรดาร์ ตรวจอากาศ (Weather Radar) ที่มีใช้อยู่เป็นแบบติดรถยนต์ เคลื่อนที่ได้มีประสิทธิภาพ<br />สามารถบอกบริเวณ ที่มีฝนตกและความแรง หรือปริมาณน้ำฝนและ การเคลื่อนที่ของกลุ่มฝนได้ในรัศมี 200-<br />400 กม. ซึ่งนอกจากจะใช้ประกอบการวางแผนปฏิบัติการแล้ว ยังใช้เป็นหลักฐานในการประเมินผล ปฏิบัติการ<br />ฝนหลวงอีกด้วย<br />1.4 เครื่องมือตรวจ อากาศผิวพื้นต่างๆ เช่น เครื่องวัดอุณหภูมิเครื่องวัด ความเร็วและทิศทางลมเครื่อง<br />วัดปริมาณน้ำฝน เป็นต้น2. เครื่องมือเตรียมสารเคมี ได้แก่เครื่อง บดสารเคมีเครื่องผสมสารเคมี ทั้งแบบน้ำและ แบบผง ถัง และ<br />กรวยโปรยสารเคมี เป็นต้น3. เครื่องมือ สื่อสาร ใช้ในการติดต่อ สื่อสารและสั่งการระหว่างนักวิชาการบน เครื่องบิน กับฐานปฏิบัติการ<br />หรือระหว่างฐาน ปฏิบัติการ 2 แห่ง หรือใช้รายงานผลระหว่างฐาน ปฏิบัติงานสำนักงานฯ ในส่วนกลางโดย<br />อาศัยข่าย ร่วมของวิทยุตำรวจ ศูนย์สื่อสารสำนักงาน ปลัดกระทรวงมหาดไทย วิทยุเกษตร และกรม ไปรษณีย์<br />โทรเลข เครื่องมือสื่อสารที่ใช้ใน ปัจจุบัน ได้แก่วิทยุซิงเกิลไซด์แบนด์ วิทยุ FM.1, FM.5 เครื่องทรพิมพ์<br />เป็นต้น4. เครื่องมือ ทาง วิชาการ อื่นๆ เช่นอุปกรณ์ ทางการวางแผนปฏิบัติการ เข็มทิศ แผนที่ กล้อง ส่อง ทางไกล<br />เครื่องมือตรวจสอบสารเคมี กล้องถ่ายภาพ และ อื่นๆ5. สถานี เรดาร์ฝนหลวง ในบรรดาเครื่องมืออุปกรณ์ วิทยาศาสตร์ ภายใต้โครงการวิจัยทรัพยากรบรรยากาศ<br />ประยุกต์จำนวน 8 รายการนั้น Doppler radar จัดเป็น เครื่องมืออุปกรณ์วิทยาศาสตร์ ที่มีมูลค่าสูงสุด<br />Doppler radar นี้ใช้เพื่อวางแผนการทดลองและติดตาม ประเมินผลปฏิบัติการฝนหลวง สาธิตเครื่อง<br />มือชนิดนี้ ทำงานโดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์(Microvax 3400) ควบคุม การสั่งการการ เก็บบันทึก<br />รวบรวม ข้อมูล สามารถ นำข้อมูลกลับมาแสดงใหม่จากเทปบันทึก ใน รูปแบบการทำงานของ IRIS<br />(IRIS Software) ผ่าน Processor (RUP-6) กล่าวคือ ข้อมูลจะถูกบันทึกไว้ในเทป<br />บันทึกข้อมูล ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถ นำมาใช้ได้ตลอด ซึ่งเชื่อมต่อกับ ระบบเรดาร์ การแสดงผล/<br />ข้อมูล โดย จอภาพ (TV.monitor) ขนาด 20 นิ้ว สถานที่ตั้ง Doppler radar หรือ ที่<br />เรียกว่า สถานี เรดาร์ฝนหลวง นี้อยู่ที่ ตำบลยางเปียง อำเภออมก๋อย จังหวัด เชียงใหม่ด้วยความสำคัญและปริมาณความต้องการให้ ปฏิบัติการฝนหลวงช่วยเหลือทวีจำนวนมากขึ้น ฉะนั้นเพื่อ<br />ให้งานปฏิบัติการฝนหลวงสามารถ ปฏิบัติการช่วยเหลือเกษตรกรได้กว้างขวาง และได้ ผลดียิ่งขึ้น รัฐบาล<br />จึงได้ตราพระราช กฤษฎีกาก่อตั้ง สำนักงานปฏิบัติการ ฝนหลวงขึ้นในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวง<br />เกษตรและสหกรณ์ เมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2518 เพื่อ เป็นหน่วยงานรองรับโครงการพระ<br />ราชดำริฝนหลวง ต่อไปจากกรรมวิธีการทำฝนหลวงที่ใช้เป็นหลัก อยู่ในปัจจุบัน คือการโปรยสารเคมีฝนหลวง จากเครื่องบิน<br />เพื่อเร่งหรือเสริมการก่อตัว และ การเจริญเติบโตของเมฆ และการโจมตีกลุ่ม เป้าหมาย ที่ต้องการที่เคย<br />ปฏิบัติกันมา ตั้งแต่เริ่มแรกจนถึงปัจจุบันนี้ นั้นใน บางครั้งก็ประสบปัญหาที่ไม่สามารถ ปฏิบัติการตาม<br />ขั้นตอน กรรมวิธีให้ครบถ้วนสมบูรณ์ เช่น ในขั้นโจมตีให้ฝนตกลงสู่พื้นที่เป้าหมาย ไม่สามารถกระทำ<br />ได้เนื่องจากฝนตกปกคลุมสนามบิน เกิดลมพายุปั่นป่วน และรุนแรง เครื่องบิน ไม่สามารถบินขึ้น<br />ปฏิบัติการได้ ทำให้กลุ่มเมฆ เคลื่อนพ้นพื้นที่เป้าหมาย จากปัญหาต่างๆ เหล่านี้ จึงได้มีการวิจัยและ<br />ทดลองกรรมวิธี การทำฝน เพื่อการพัฒนาและก้าวหน้าบรรลุ เป้าหมายยิ่งขึ้นอีกระดับหนึ่ง อาทิเช่น<br />การทำวิจัย สร้างจรวดบรรจุสารเคมียิงจากพื้นดินเข้าสู่ ก้อนเมฆ หรือยิงจากเครื่องบิน จึงได้มี การเริ่ม<br />วิจัยประดิษฐ์จรวดทำฝนร่วมกับ กรมสรรพาวุธทหารบก เมื่อ พ.ศ. 2515-2516 จนก้าวหน้าถึง<br />ระดับทดลองยิงในเบื้องต้นแล้ว แต่ต้อง หยุดชะงักด้วยความจำเป็นบางประการของ กรมสรรพาวุธ<br />ทหารบกจนถึงพ.ศ.2524 คณะกรรมการสภาวิจัย แห่งชาติได้แต่งตั้งคณะทำงานพัฒนาและ วิจัย<br />จรวดฝนเทียมขึ้นประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญ ด้านจรวดของกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ นักวิชาการ<br />ของสภาวิจัยแห่งชาติ และนักวิชาการฝนหลวงซึ่ง ได้ทำการวิจัยประดิษฐ์และพัฒนาจรวด ต้นแบบขึ้น<br />ทำการทดลองยิงทดสอบก้าวหน้า มาตามลำดับ และถึงขั้นบรรจุสารเคมีเพื่อ ทดลองยิงเข้าสู่ก้อนเมฆจริง<br />แล้วในปี พ.ศ. 2530 ขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นทำการผลิต จรวดเชิงอุตสาหกรรมเพื่อทำการยิงทดลอง<br />และตรวจสอบผลในเชิงปฏิบัติการต่อไป ในการนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรง พระกรุณา<br />พระราชทานแนวความคิดในการวิจัยชิ้นนี้อาจกล่าวได้ว่าการวางแผนและกำหนดกรรมวิธี ในการทำฝนหลวงในขั้นตอนต่างๆนั้น ได้ มาจาก<br />พระราชอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการประมวลและวิเคราะห์ข้อมูล รวมทั้ง<br />การนำความสามารถของเทคโนโลยีสารสนเทศ มาใช้ในการดำเนินงานให้แต่ละขั้นตอนมี ประสิทธิ<br />ภาพมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นวิทยุสื่อสาร, ดาวเทียม หรือ แม้แต่คอมพิวเตอร์ ก็ตาม กล่าวคือ<br />พระองค์ทรงให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยี สารสนเทศมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง</div>sumaleehttp://www.blogger.com/profile/09520391299368706291noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3506308658106419352.post-64554946089469203282008-01-29T17:18:00.001+07:002008-12-12T15:37:37.707+07:00โครงการแก้มลิง<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjezmGBC6Ic0E4-78bwfADNv4TVsH9pHqJfzOKAyQWGLj10dGdM34v9WLBmKc8KnBG7nG36HYKm31puh-we3RyxLokjMy-2B-PfOPiEvc8bMZu_sbpKDIMykvPZExbIn6rQqCsekJQwsiGG/s1600-h/%C3%A0%C2%B9%C2%81%C3%A0%C2%B8%C2%81%C3%A0%C2%B9%E2%80%B0%C3%A0%C2%B8%C2%A11[1].gif"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5160846653645775458" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjezmGBC6Ic0E4-78bwfADNv4TVsH9pHqJfzOKAyQWGLj10dGdM34v9WLBmKc8KnBG7nG36HYKm31puh-we3RyxLokjMy-2B-PfOPiEvc8bMZu_sbpKDIMykvPZExbIn6rQqCsekJQwsiGG/s320/%25C3%25A0%25C2%25B9%25C2%2581%25C3%25A0%25C2%25B8%25C2%2581%25C3%25A0%25C2%25B9%25E2%2580%25B0%25C3%25A0%25C2%25B8%25C2%25A11%5B1%5D.gif" border="0" /></a><br /><div>"...ตามปกติ เวลาเราให้กล้วยกับลิง ลิงจะเคี้ยวแล้วเก็บไว้ในแก้มลิง... เขาเคี้ยวแล้วเอาไปเก็บในแก้ม<br />น้ำท่วมลงมา ถ้าไม่ทำ "โครงการแก้มลิง" น้ำท่วมนี้จะเปรอะไปหมด อย่างที่เปรอะปีนี้ เปรอะไปทั่ว<br />ภาคกลาง จะต้องทำ "แก้มลิง" เพื่อที่จะเอาน้ำปีนี้ไปเก็บไว้..."พระราชดำรัส ๔ ธันวาคม ๒๔๓๘"โครงการแก้มลิง" เป็นส่วนหนึ่งของโครงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมพื้นที่ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล<br />ตามแนวพระราชดำริ โดยประกอบด้วยโครงการขุดลอกคลองระบายน้ำและกำจัดวัชพืชโครงการปรับปรุง<br />และก่อสร้างสถานีสูบน้ำและประตูระบายน้ำ ตามที่ได้เกิดสภาวะน้ำท่วมหนัก ในลุ่ม แม่น้ำเจ้าพระยา<br />เมื่อ พ.ศ.๒๕๓๘ อันสืบเนื่องมาจากฝนตกหนักในลุ่มน้ำตอนบน ทำให้ปริมาณน้ำจำนวนมากไหลหลาก<br />ท่วมพื้นที่อย่างรุนแรงในลุ่มแม่น้ำยมและน่านเสริมกับปริมาณน้ำล้นอ่างเก็บน้ำเขื่อนสิริกิติ์ไปหลากท่วม<br />พื้นที่ทางด้านท้ายน้ำอย่างหนัก และส่งผล กระทบต่สภาวะน้ำท่วมในแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่างซึ่งรวมถึง<br />เขตกรุงเทพฯและปริมณฑล เป็นเวลานานกว่า ๒ เดือน คืนวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๓๘ พระบาทสมเด็จ<br />พระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าหน้าที่ดูแลปัญหาน้ำท่วมเข้าเฝ้าฯเพื่อรับพระราชทานแนวพระราชดำริการ<br />ป้องกันน้ำท่วม ในพื้นที่บริเวณกรุงเทพฯ และปริมณฑลโดยทรงเปรียบเทียบการ กินอาหารของลิงหลังจาก<br />ที่ลิง เคี้ยวกล้วยแล้วจะยังไม่กลืน แต่จะเก็บไว้ภายในแก้มทั้งสองข้างแล้วค่อย ๆ ดุนกล้วยมากินในภาย<br />หลังเช่นเดียวกับกรณีการผันน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา รวมทั้งน้ำที่ขึ้นมาตามซอยต่าง ๆ เมื่อน้ำทะเลหนุนให้<br />ไปเก็บไว้ที่บึงใหญ่ที่อยู่ใกล้กับพื้นที่ชายทะเล และมีประตูน้ำขนาดใหญ่สำหรับปิดกั้นน้ำบริเวณแก้มลิง<br />สำหรับฝั่งตะวันตกจะอยู่ที่คลองชายทะเลด้านฝั่งตะวันออกบริเวณแก้มลิงจะอยู่ที่คลองสรรพสามิต เมื่อ<br />เวลาน้ำทะเลลดลงให้เปิดประตูระบายน้ำออกไป บึงจะสามารถรับน้ำชุดใหม่ต่อไปแนวทางที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำริแก้ไขปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯ คือประการแรก สร้างคันกั้นน้ำโดยปรับปรุงแนวถนนเดิม ประการที่ ๒ จัดให้มีพื้นที่สีเขียว (Green<br />Belt) ตามพระราชดำริเพื่อกันการขยายตัวของเมืองและเพื่อแปรสภาพให้เป็นทางระบายน้ำ เมื่อมี<br />น้ำหลาก ประการที่ ๓ ดำเนินการขุดลอกคลอง ขยายคลองที่มีอยู่เดิมและขุดใหม่นอกแนวคันกั้นน้ำ<br />ประการที่ ๔ สร้างสถานที่เก็บน้ำตามจุดต่าง ๆ ประการที่ ๕ ขยายช่องทางรับน้ำที่ผ่านทางรถไฟ<br />และทางหลวง กรมทางหลวงได้ดำเนินการตาม "โครงการพระราชดำริแก้มลิง" โดยใช้แนวถนน<br />สุขุมวิทเป็นคันกั้นน้ำทะเลที่หนุนท่วมขึ้นมาบนชายฝั่งทะเล และใช้พื้นที่ด้านในของถนนสุขุมวิท<br />เป็นพื้นที่พักน้ำที่ไหลมาจากตอนบนร้อมทั้งประสานงานกับกรมชลประทานและกรมโยธาธิการ<br />ดำเนินการก่อสร้างสถานีสูบน้ำตามคลองต่าง ๆ เลียบถนนสุขุมวิทตามแนวคลองชายทะเล โดยมี<br />ประสิทธิภาพในการสูบน้ำตามคลองต่าง ๆ คือ คลองตำหรุ คลองบางปลาร้า คลองบางปลา คลอง<br />เจริญราษฎร์ คลองด่าน คลองชลหารพิจิตร รวมปริมาณน้ำที่สามารถสูบออกทะเล ๒๖๗ ลูกบาศก์<br />เมตรต่อวินาที ทำให้น้ำตามคลองต่าง ๆ ของพื้นที่ด้านบนสามารถไหลลงสู่ด้านล่างได้สะดวกรวด<br />เร็วขึ้นการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมพื้นที่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลตามแนวพระราชดำริ "แก้มลิง"<br />มีลักษณะและวิธีการดังนี้๑. ดำเนินการระบายน้ำออกจากพื้นที่ตอนบน ให้ไหลลงคลองพักน้ำขนาดใหญ่ที่บริเวณชาย<br />ทะเล<br />๒. เมื่อระดับน้ำทะเลลดต่ำกว่าระดับน้ำในคลอง ก็ทำการระบายน้ำจากคลองดังกล่าวโดย<br />ใช้หลักทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของโลก (Gravity Flow) ตามธรรมชาติ<br />๓. สูบน้ำออกจากคลองที่ทำหน้าที่ "แก้มลิง" นี้ เพื่อทำให้น้ำตอนบนค่อยๆ ไหลมาเองตลอดเวลา<br />ส่งผลให้ปริมาณน้ำท่วมพื้นที่ลดน้อยลง<br />๔. เมื่อระดับน้ำทะเลสูงกว่าระดับน้ำในลำคลอง ให้ทำการปิดประตูระบายน้ำโดยยึดหลักน้ำไหล<br />ลงทางเดียว (One Way Flow)หลัก ๓ ประการ ที่จะทำให้โครงการแก้งลิงมีประสิทธิภาพบรรลุผลสำเร็จตามแนวพระราชดำริ คือ<br />การพิจรณา๑. สถานที่ที่จะทำหน้าที่เป็นบ่อพักและวิธีการชักนำน้ำท่วมไหลเข้าสู่บ่อพักน้ำ<br />๒. เส้นทางน้ำไหลที่สะดวกต่อการระบายน้ำเข้าสู่แหล่งที่ทำหน้าที่บ่อพักน้ำ<br />๓. การระบายน้ำออกจากบ่อพักน้ำต้องเป็นไปอย่างต่อเนื่อง"โครงการแก้มลิงฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา" ใช้คลองชายทะเลตั้งอยู่ริมทะเลด้านจังหวัด<br />สมุทรปราการทำหน้าที่เป็นบ่อพักน้ำหรือบ่อรับน้ำส่วน"โครงการแก้มลิง ในพื้นที่ฝั่งตะวันตกของ<br />แม่น้ำเจ้าพระยา" ทำหน้าที่รับน้ำในพื้นที่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อระบายออกทะเลด้าน<br />จังหวัดสมุทรสาครพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำริ เพื่อให้การระบายน้ำ<br />ท่วมออกทะเลเร็วขึ้นด้วยวิธีการต่างๆอาทิ โครงการแก้มลิง "แม่น้ำท่าจีนตอนล่าง"ซึ่งใช้หลักการ<br />ในการควบคุมน้ำในแม่น้ำท่าจีน คือ เปิดระบายน้ำจำนวนมากลงสู่อ่าวไทยเมื่อระดับน้ำทะเลต่ำโครงการแก้มลิงแม่น้ำท่าจีนตอนล่างจะมีประสิทธิภาพสมบูรณ์ต้องดำเนินการครบระบบ ๓ โครง<br />การด้วยกัน คือ๑. โครงการแก้มลิง "แม่น้ำท่าจีนตอนล่าง<br />๒. โครงการแก้มลิง "คลองมหาชัย-คลองสนามชัย"<br />๓. โครงการแก้มลิง "คลองสุนัขหอน" โครงการแก้มลิงนับเป็นนิมิตหมายที่จะนำพาชาวไทยให้<br />รอดพ้นจากทุกข์ภัย ที่นำความเดือนร้อนแสนลำเค็ญมาสู่ชีวิตที่อบอุ่นปลอดภัยซึ่งแนวพระราชดำริ<br />อันเป็นทฤษฎีเกี่ยวกับการบริหารจัดการด้านน้ำท่วมนี้ มีพระราชดำริเพิ่มเติมว่า"...ได้ดำเนินการในแนวทาง ที่ถูกต้องแล้ว ขอให้รีบเร่งหาวิธีปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพต่อ<br />ไปเพราะโครงการแก้มลิงในอนาคตจะสามารถช่วยพื้นที่ได้หลายพื้นที่..."</div>sumaleehttp://www.blogger.com/profile/09520391299368706291noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3506308658106419352.post-5289166079782762362008-01-29T17:16:00.000+07:002008-12-12T15:37:37.880+07:00เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จังหวัดลพบุรี<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjBZcHKoEUwYP8nZ-2SEPKKoKyk5eFtAhmFppmQzrtA0R8l5SooFui7u4iiHgzXsqpScsqFgCIbqw2RHeQCcxRmKzdF_xJv5qtg539slXO_AzZSVJtJT10V4DqOnFAQPRYN9PWjC1VQpMcf/s1600-h/%C3%A0%C2%B8%C2%A3%C3%A0%C2%B8%C2%B9%C3%A0%C2%B8%E2%80%BA10[1].jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5160848324388053618" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjBZcHKoEUwYP8nZ-2SEPKKoKyk5eFtAhmFppmQzrtA0R8l5SooFui7u4iiHgzXsqpScsqFgCIbqw2RHeQCcxRmKzdF_xJv5qtg539slXO_AzZSVJtJT10V4DqOnFAQPRYN9PWjC1VQpMcf/s320/%25C3%25A0%25C2%25B8%25C2%25A3%25C3%25A0%25C2%25B8%25C2%25B9%25C3%25A0%25C2%25B8%25E2%2580%25BA10%5B1%5D.jpg" border="0" /></a><br /><div>สำหรับเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่อยู่หัว พระราชทานพระราชดำริให้ กรมชลประทาน<br />ศึกษาความเหมาะสมและผล กระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อแก้ไขปัญหาการ ขาดแคลนน้ำและปัญหาอุทกภัย<br />ทั้งในพื้นที่ลุ่มน้ำ เจ้าพระยาตอนล่าง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและ ปริมณฑล เมื่อวันที่ 19 ก.พ. 2532ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 18 ส.ค. 2537 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่อยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัส พระราชทาน<br />แก่เจ้าหน้าที่กรมชลประทาน ขณะ เสด็จฯ ทอดพระเนตรหุ่นจำลองเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ในงานนิทรรศการเทค<br />โนอินโดไชน่าที่องค์การ สหประชาชาติว่า "72 ปี ยังเดินไหว จะไปเปิด เขื่อนป่าสัก" เขื่อนดิน แกนดินเหนียว<br />สันเขื่อนยาว 4,860 เมตร สูง 36.50 เมตร อยู่ไม่ไกลกรุงเทพฯเท่าไรราว 150 กม.เท่านั้น หากมีรถ<br />ไปเองขับไปตามถนนพหลโยธิน เมื่อไปถึง3 แยกพุแคเลี้ยวขวาเข้าไปในถนนสายสระบุรี-หล่มสัก ประมาณ<br />41 กม. มีป้ายบอกทางตลอด ต่อมาวันที่ 3 พ.ค. 2537 คณะรัฐมนตรีอนุมัติ ให้ดำเนินโครงการก่อสร้าง<br />เขื่อนขนาดใหญ่ ที่บ้านหนองบัว ต.หนองบัว อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี โครงการนี้ใช้เวลา ในการก่อสร้าง 5 ปี<br />ระหว่าง 2537-2542 โดยเริ่มลงมือ ก่อสร้างเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2537 ที่บริเวณหัวงาน ต.หนองบัว<br />ลักษณะเขื่อนเป็นเขื่อนดิน แกนดินเหนียว สันเขื่อนยาว 4,860 เมตร สูง 36.50 เมตร เก็บกักน้ำได้<br />สูงสุด 960 ล้านลูกบาศก์เมตร ที่ระดับ 43 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ปานกลาง มีพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ<br />114,119 ไร่ ประมาณ 7,700 ครอบครัว ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 23,336 ล้านบาท โดย<br />เริ่มเก็บกักน้ำครั้งแรก เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 2541 สมเด็จพระเทพรัตน- ราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี<br />เสด็จฯ ทรง เป็นประธานในพิธีเริ่มเก็บกักน้ำเขื่อนป่าสักพิพิทธภัณฑ์ลุ่มน้ำป่าสักนอกจากนี้ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ยังอยู่ใกล้ กรุงเทพฯ มีการคมนาคมสะดวกสบาย สามารถ เป็นแหล่งท่อง<br />เที่ยวทีสำคัญได้อีกแห่งหนึ่ง และ ที่น่าสนใจเป็นพิเศษ คือ <a href="http://www.geocities.com/TheTropics/Reef/5830/lopburi/lop_tran.htm">การท่องเที่ยวทางรถไฟ</a> เนื่องจากมีการก่อสร้าง<br />ทางรถไฟลอยฟ้า ซึ่งนับ เป็นทางรถไฟแห่งแรกในประเทศไทยที่ก่อสร้าง ผ่านตัวอ่างเก็บน้ำ รวมทั้งยังมี<br />พิพิธภัณฑ์ลุ่มน้ำ ป่าสักอีกด้วยท่อระบายน้ำ ทำหน้าที่เป็นท่อน้ำล้นเมื่อวันที่ 25 พ.ย. 2542 พระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว สมด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนารถ<br />เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วย สมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ ทรงเป็น<br />ประธานในพิธีเปิดเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ที่ อ.พัฒนา นิคม จ.ลพบุรี โดยมีสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์<br />วัดปากน้ำภาษีเจริญกรุงเทพฯ ประธานสงฆ์ถวายศิลมองจากสันเขื่อนทิศใต้ ไปยังทิศเหนือเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2541 พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อ<br />เขื่อนว่า "เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์" หมายถึง "เขื่อนแม่น้ำป่าสักที่เก็บกักน้ำได้อย่างมี ประสิทธิภาพ"<br />ซึ่งแม่น้ำป่าสักเป็นแม่น้ำสาขา สายหนึ่งของแม่น้ำเจ้าพระยา เริ่มจากอำเภอ ด่านซ้าย จังหวัดเลย ไหล<br />ผ่านจังหวัดเพชรบูรณ์ ลพบุรี สระบุรี มาบรรจบกับแม่น้าเจ้าพระยาที่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นับเป็น<br />แม่น้ำสายสำคัญ ของภาคกลางตอนล่าง ประตูระบายน้ำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรี</div>sumaleehttp://www.blogger.com/profile/09520391299368706291noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3506308658106419352.post-47227033864556878822008-01-29T17:13:00.000+07:002008-12-12T15:37:38.134+07:00กังหันน้ำชัยพัฒนา<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiv1aCQFCpHe0I9vUesys97MIMPlclzaEkH2rGCDuYPnBDw0Rn_Jb3PwpyIc40T4mbPOkNkngRbYAOYupnU5g3FYJwtAV8G1JTPeB26AJGx3uXwAZ6aSeeKnXKRdPX98-6zDftAoQmLB1w-/s1600-h/%C3%A0%C2%B8%C2%A3%C3%A0%C2%B8%C2%B9%C3%A0%C2%B8%E2%80%BA10[1].jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5160849269280858754" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiv1aCQFCpHe0I9vUesys97MIMPlclzaEkH2rGCDuYPnBDw0Rn_Jb3PwpyIc40T4mbPOkNkngRbYAOYupnU5g3FYJwtAV8G1JTPeB26AJGx3uXwAZ6aSeeKnXKRdPX98-6zDftAoQmLB1w-/s320/%25C3%25A0%25C2%25B8%25C2%25A3%25C3%25A0%25C2%25B8%25C2%25B9%25C3%25A0%25C2%25B8%25E2%2580%25BA10%5B1%5D.jpg" border="0" /></a><br /><div>พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหาที่เกิดขึ้น และ<br />ทรงห่วงใยต่อพสกนิกรที่ต้องเผชิญในเรื่องดังกล่าวเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2531 ได้พระ<br />ราชทานพระราชดำริในการแก้ไขปัญหาน้ำเสีย ด้วยการใช้เครื่องกลเติมอากาศ โดยพระราชทานรูป<br />แบบสิ่งประดิษฐ์ที่เรียบง่าย แต่มีประสิทธิภาพสูงในการบำบัดน้ำเสีย ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ กังหัน<br />น้ำชัยพัฒนา และนำมาใช้ในการปรับปรุงคุณภาพน้ำตามสถานที่ต่างๆ ทั่วทุกภูมิภาคกังหันน้ำชัยพัฒนา เครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่นลอย พระบาทสมเด็จ<br />พระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยในความเดือดร้อนทุกข์ยากที่เกิดขึ้นนี้ ได้เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตร<br />สภาพน้ำเสียในพื้นที่หลายแห่งหลายครั้ง ทั้งในเขตกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และต่างจังหวัด<br />พร้อมทั้งพระราชทานพระราชดำริเกี่ยวกับการแก้ไขน้ำเน่าเสีย ในระยะแรกระหว่างปี พ.ศ. 2527<br />-2530 ทรงแนะนำให้ใช้น้ำที่มีคุณภาพดีช่วยบรรเทาน้ำเสียและวิธีกรองน้ำเสียด้วยผักตบชวา<br />และพืชน้ำต่างๆ ซึ่งก็สามารถช่วยแก้ไขปัญหาได้ผลในระดับหนึ่ง กังหันน้ำพระราชทาน ต่อมาใน<br />ช่วงปี พ.ศ.2531 เป็นต้นมา สภาพความเน่าเสียของน้ำบริเวณต่างๆ มีอัตราแนวโน้มรุนแรงมาก<br />ยิ่งขึ้น การใช้วิธีธรรมชาติไม่อาจบรรเทาความเน่าเสียของน้ำอย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร พระบาท<br />สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงขอพระราชทานพระราชดำริให้ประดิษฐ์เครื่องกลเติมอากาศแบบประหยัด<br />ค่าใช้จ่าย สามารถผลิตได้เองในประเทศ ซึ่งมีรูปแบบ "ไทยทำไทยใช้"โดยทรงได้แนวทางจาก<br />"หลุก" ซึ่งเป็นอุปกรณ์วิดน้ำเข้านาอันเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านเป็นจุดคิดค้นเบื้องต้น และทรงมุ่งหวัง<br />ที่จะช่วยแบ่งเบาภาระของรัฐบาลในการบรรเทาน้ำเน่าเสียอีกทางหนึ่งด้วย การนี้ จึงทรงพระกรุณา<br />โปรดเกล้าฯ ให้มูลนิธิชัยพัฒนาสนับสนุนงบประมาณ เพื่อการศึกษาและวิจัยสิ่งประดิษฐ์ใหม่นี้<br />โดยดำเนินการจัดสร้างเครื่องมือบำบัดน้ำเสียร่วมกับกรมชลประทาน ซึ่งได้มีการผลิตเครื่องกลเติม<br />อากาศขึ้นในเวลาต่อมา และรู้จักกันแพร่หลายทั่วไประเทศในปัจจุบันคือ "กังหันน้ำชัยพัฒนา"พระราชดำริ เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2531 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทาน<br />รูปแบบและพระราชดำริ เรื่องการแก้ไขปัญหาน้ำเสีย โดยการเติมออกซิเจนในน้ำ มีสาระสำคัญ<br />คือ การเติมอากาศลงในน้ำเสีย มี 2 วิธีวิธีหนึ่ง ใช้อากาศอัดเข้าไปตามท่อเป่าลงไปใต้ผิวน้ำแบบ<br />กระจายฟองและอีกวิธีหนึ่ง น่าจะกระทำได้โดยกังหันวิดน้ำ วิดตักขึ้นไปบนผิวน้ำ แล้วปล่อยให้<br />ตกลงไปยังผิวน้ำตามเดิม โดยที่กังหันน้ำดังกล่าวจะหมุนช้า ด้วยกำลังของมอเตอร์ไฟฟ้า ขนาดเล็ก<br />ไม่เกิน 2 แรงม้า หรืออาจจะใช้พลังน้ำไหลก็ได้ จึงสมควรพิจารณาสร้างต้นแบบ แล้วนำไปติดตั้ง<br />ทดลองใช้บำบัดน้ำเสียที่ภายในบริเวณโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า และวัดบวรนิเวศวิหารการศึกษา วิจัย และพัฒนากรมชลประทานรับสนองพระราชดำริในการศึกษาและสร้างต้นแบบ โดยดัดแปลงเครื่องสูบน้ำ<br />พลังน้ำจาก "กังหันน้ำสูบน้ำทุ่นลอย" เปลี่ยนเป็น "กังหันน้ำชัยพัฒนา" และได้นำไปติดตั้งใช้<br />ในกิจกรรมบำบัดน้ำเสียที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2532 และที่<br />วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2532 เพื่อศึกษา วิจัย และพัฒนาระบบบำบัด<br />น้ำเสีย เป็นระยะเวลา 4-5 ปีคุณสมบัติกังหันน้ำชัยพัฒนา หรือเครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่นลอย (Chaipattana<br />Low Speed Surface Aerator) ซึ่งเป็น Model RX-2 หมายถึง<br />Royal Experiment แบบที่ 2 มีคุณสมบัติในการถ่ายเทออกซิเจนได้สูงถึง 1.2<br />กิโลกรัมของออกซิเจน/แรงม้า/ชั่วโมง สามารถนำไปใช้ในกิจกรรมปรับปรุงคุณภาพน้ำ<br />ได้อย่างอเนกประสงค์ ติดตั้งง่าย เหมาะสำหรับใช้ในแหล่งน้ำธรรมชาติ ได้แก่ สระน้ำ<br />หนองน้ำ คลอง บึง ลำห้วย ฯลฯ ที่มีความลึกมากกว่า 1.00 เมตร และมีความกว้างมาก<br />กว่า 3.00 เมตร<br />หลักการทำงานเครื่องกลเติมอากาศ "กังหันน้ำชัยพัฒนา" แบบทุ่นลอย สามารถปรับตัวขึ้นลงได้ตามระดับ<br />ขึ้นลงของน้ำ ส่วนประกอบสำคัญ ได้แก่ โครงกังหันรูป 12 เหลี่ยม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง<br />2.00 เมตร มีซองน้ำขนาดบรรจุ 110 ลิตร ติดตั้งโดยรอบจำนวน ซอง เจาะรูซอง<br />น้ำพรุน เพื่อให้น้ำไหลกระจายเป็นฝอย ซองน้ำนี้จะถูกขับเคลื่อนให้หมุนโดยรอบ ด้วย<br />มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 2 แรงม้า ระบบแรงดัน 380 โวลต์ 3 เฟส 50 เฮิร์ท ผ่านระบบ<br />ส่งกำลังด้วยเฟืองเกียร์ทอรอบและ/หรือ จานโซ่ ซึ่งจะทำให้การหมุนเคลื่อนที่ของซองน้ำ<br />วิดตักน้ำด้วยความเร็ว 56รอบ/นาที สามารถวิดน้ำลึกลงไปใต้ผิวน้ำ ประมาณ 0.50 เมตร<br />ยกน้ำขึ้นไปสาดกระจายเป็นฝอยเหนือผิวน้ำด้วยความสูงประมาณ 1.00 เมตร ทำให้มีพื้นที่<br />ผิวสัมผัสระหว่างน้ำกับอากาศกว้างขวางมากขึ้น เป็นผลทำให้ออกซิเจนในอากาศละลายเข้าไป<br />ในน้ำได้อย่างรวดเร็ว และในขณะที่น้ำเสียถูกยกขึ้นไปสาดกระจายสัมผัสกับอากาศแล้วตกลงไป<br />ยังผิวน้ำนั้น จะก่อให้เกิดฟองอากาศจมตามลงไปใต้ผิวน้ำด้วย อีกทั้งในขณะที่ซองน้ำกำลังเคลื่อน<br />ที่ลงสู่ผิวน้ำแล้วกดลงไปใต้ผิวน้ำนั้น จะเกิดการอัดอากาศภายในซองน้ำภายใต้ผิวน้ำจนกระทั่ง<br />ซองน้ำจมน้ำเต็มที่ ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในการถ่ายเทออกซิเจนได้สูงขึ้นตามไปด้วย หลังจาก<br />นั้นน้ำที่ได้รับการเติมอากาศแล้ว จะเกิดการถ่ายเทของน้ำเคลื่อนที่ออกไปด้วยการผลักดันของซอง<br />น้ำด้วยความเร็วของการไหล 0.20 เมตร/วินาที จึงสามารถผลักดันน้ำออกไปจากเครื่อง มี<br />ระยะทางประมาณ 10.00 เมตร และผลพลอยได้อีกประการหนึ่งได้แก่ การโยกตัวของทุ่นลอย<br />ในขณะทำงาน จะส่งผลให้แผ่นไฮโดรฟอยล์ที่ติดตั้งไว้ในส่วนใต้น้ำ สามารถผลักดันน้ำให้เคลื่อน<br />ที่ผสมผสานออกซิเจนเข้ากับน้ำในระดับความลึกใต้ผิวน้ำเป็นอย่างดีอีกด้วย จึงก่อให้เกิดกระบวน<br />การทั้งการเติมอากาศ การกวนแบบผสมผสาน และการทำให้เกิดการไหลของน้ำเสียไปตามทิศทาง<br />ที่กำหนดโดยพร้อมกันสิทธิบัตรในพระปรมาภิไธย เป็นที่น่าปีติยินดีเป็นล้นพ้นแก่ปวงพสกนิกรไทยทั้งมวล<br />เมื่อเครื่องกลเติมอากาศ "กังหันน้ำชัยพัฒนา" ได้รับการพิจารณาและทูลเกล้าฯ ถวายสิทธิบัตร<br />ในพระปรมาภิไธย เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2536 นับเป็นสิ่งประดิษฐ์เครื่องกลเติม<br />อากาศเครื่องที่ 9 ของโลกที่ได้รับสิทธิบัตรและเป็นครั้งแรกที่ได้มีการรับจดทะเบียนและออก<br />สิทธิบัตรถวายแด่พระมหากษัตริย์ด้วย จึงนับได้ว่าสิทธิบัตรเครื่องกลเติมอากาศในพระปรมา<br />ภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นเป็น "สิทธิบัตรในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์<br />พระองค์แรกในประวัติศาสตร์ชาติไทยและเป็นครั้งแรกของโลก"รางวัลเทิดพระเกียรติ กังหัน<br />น้ำชัยพัฒนามีชื่อเสียงโด่งดังยิ่งขึ้นอีกครั้งหนึ่งเมื่อสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติได้<br />ประกาศให้กังหันน้ำชัยพัฒนาได้รับรางวัลที่ 1 ในประเภทรางวัลผลงานคิดค้น หรือสิ่ง<br />ประดิษฐ์ซึ่งเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติประจำปี 2536 และทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลนี้<br />แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยสดุดีถึงพระปรีชาสามารถในการคิดค้นเครื่องกลเติม<br />อากาศชนิดนี้ว่าสามารถบำบัดน้ำเสียได้ดียิ่ง นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีได้มีมติกำหนดให้<br />วันที่ 2 กุมภาพันธ์ของทุกปีเป็น "วันนักประดิษฐ์" เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติ ซึ่งสืบเนื่อง<br />จากการทูลเกล้าฯ ถวายสิทธิบัตรในพระปรมาภิไธย เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2536สำหรับรางวัลเทิดพระเกียรตินานาชาตินั้น The Belgian Chamber of<br />Inventor ซึ่งเป็นองค์กรสิ่งประดิษฐ์ที่เก่าแก่ที่สุดของยุโรป ได้จัดงาน Brussels<br />Eureka 2000: 49th Anniversary of the World<br />Exhibition of Innovation, Research and New<br />Technology ระหว่างวันที่ 14-20 พฤศจิกายน 2543 ณ กรุงบรัสเซลส์<br />ประเทศเบลเยี่ยม ในงานนี้ คณะกรรมการนานาชาติและกรรมการประจำชาติ ได้มีพิธี<br />ประกาศรางวัลต่อนักวิจัย นักประดิษฐ์ และผู้เข้าชมงานว่า "รางวัลต่างๆ ที่ประกาศ<br />ในวันนี้ มิใช่ว่าจะพิจารณามอบให้กันอย่างง่ายๆ สิ่งประดิษฐ์ทุกๆ สาขา จะต้องสามารถ<br />นำไปใช้งานได้กว้างขวาง เกิดประโยชน์ต่อากรพัฒนาคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมได้ทั่วโลก<br />ดังนั้น Chaipattana Low Speed Surface Aerator, Model<br />Rx-2 เป็นที่น่าสรรเสริญให้เป็นสิ่งประดิษฐ์ดีเด่นในครั้งนี้"นอกจากนี้ คณะกรรมการนานาชาติได้กล่าวสดุดีพระเกียรติพระบาทสมเด็จ<br />พระเจ้าอยู่หัว ความว่า "พระมหากษัตริย์ของไทยทรงเป็นนักพัฒนา มีพระวิริยะอันสูงส่ง<br />รวมทั้งพระอัจฉริยภาพและพระวิสัยทัศน์ที่ดีทรงงานหนักเพื่อประชาชนของพระองค์ ทรง<br />ใช้เทคโนโลยีที่เรียบง่าย สิ่งประดิษฐ์ในพระองค์สามารถนำไปพัฒนาใช้งานได้อย่างกว้าง<br />ขวางทั่วโลก" รางวัล เหรียญรางวัล และประกาศนียบัตร ที่คณะกรรมการนานาชาติและ<br />กรรมการประจำชาติทูลเกล้าฯ ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สำหรับการประดิษฐ์<br />"กังหันน้ำชัยพัฒนา" ดังนี้ถ้วยรางวัล MINISTER J. CHABERT เป็นรางวัลผลงานด้านสิ่งประดิษฐ์<br />ดีเด่น มอบโดย Minister of Economy of Brussels Capital Regionถ้วยรางวัล Grand Prix International เป็นรางวัลผลงานด้านสิ่งประดิษฐ์ดีเด่น<br />มอบโดย International Council of the World Organization<br />of Periodical Pressเหรียญรางวัล Prix OMPI Femme Inventeur Brussels EUREKA<br />2000 พร้อมประกาศนียบัตรเป็นรางวัลด้านสิ่งประดิษฐ์ดีเด่นระดับโลก มอบโดย World<br />Organization of Intellectual Propertyถ้วยรางวัล Yugoslavia Cup เป็นรางวัลสรรเสริญในพระอัจฉริยภาพพระบาทสมเด็จ<br />พระเจ้าอยู่หัว มอบโดยกลุ่มประเทศยูโกสลาเวียเหรียญรางวัลGold Medal with Mention พร้อมประกาศนียบัตร เป็นรางวัล<br />สรรเสริญในพระอัจฉริยภาพแห่งการใช้เทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพมอบโดย Brussels<br />Eureka 2000การดำเนินงานในขณะนี้ได้ผลสำเร็จดีน่าพึงพอใจ สามารถทำให้นำใสสะอาดขึ้น ลดกลิ่น<br />เหม็นลงไปได้มาก และมีปริมาณออกซิเจนในน้ำเพิ่มขึ้น สัตว์น้ำต่างๆ อาทิ เต่า ตะพาบน้ำ และปลา<br />สามารถอยู่อาศัยได้อย่างปลอดภัย ตลอดจนสามารถบำบัดความสกปรกในรูปของมวงสารต่างๆ<br />ให้ลดต่ำลงได้ตามเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด ปัจจุบันมีหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ได้ร้อง<br />ขอให้มูลนิธิชัยพัฒนาและกรมชลประทานเข้าไปช่วยเหลือในการบำบัดน้ำเสียอย่างเร่งด่วนเป็น<br />จำนวนมาก อาทิเช่น วัด โรงพยาบาล สถานที่ราชการอื่นๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดกังหันน้ำชัยพัฒนา จึงเป็นที่ยอมรับในประสิทธิภาพของการบำบัดน้ำเสียทั้งในประเทศ<br />และต่างประเทศ สามารถแก้ไขและปรับปรุงคุณภาพน้ำให้ดีขึ้น โดยการใช้เทคโนโลยีที่เรียบง่ายแต่</div>sumaleehttp://www.blogger.com/profile/09520391299368706291noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3506308658106419352.post-18809169859474829752008-01-29T17:06:00.000+07:002008-12-12T15:37:38.296+07:00พระราชดำริปาล์มน้ำมัน ไบโอดีเซล<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjf_S3dKJsxUbPe9nKfnZQgxf2mEhDnuS51sMoXD7KKNNlxCuU1KVA340gIbeiUlRPKU5sjsFaSBqikBg_5iIBKhC5HmS5i0jwz9ngtj2SMYkq8ExHHMjp2P1IWiQO4ImH7QYXAfUsCXcKw/s1600-h/%C3%A0%C2%B9%C6%92%C3%A0%C2%B8%E2%84%A2%C3%A0%C2%B8%C2%AB%C3%A0%C2%B8%C2%A5%C3%A0%C2%B8%C2%A7%C3%A0%C2%B8%E2%80%A11[1].jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5160849977950462610" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjf_S3dKJsxUbPe9nKfnZQgxf2mEhDnuS51sMoXD7KKNNlxCuU1KVA340gIbeiUlRPKU5sjsFaSBqikBg_5iIBKhC5HmS5i0jwz9ngtj2SMYkq8ExHHMjp2P1IWiQO4ImH7QYXAfUsCXcKw/s320/%25C3%25A0%25C2%25B9%25C6%2592%25C3%25A0%25C2%25B8%25E2%2584%25A2%25C3%25A0%25C2%25B8%25C2%25AB%25C3%25A0%25C2%25B8%25C2%25A5%25C3%25A0%25C2%25B8%25C2%25A7%25C3%25A0%25C2%25B8%25E2%2580%25A11%5B1%5D.jpg" border="0" /></a><br /><div>วันนี้ ใครๆ ต่างก็พูดถึงน้ำมันไบโอดีเซล ไบโอดีเซลคืออะไรคำตอบ ก็คือ ไบโอดีเซล หมายถึง น้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตจากไขพืชหรือไขมันสัตว์ มีคุณสมบัติเทียบเท่าน้ำมันดีเซลทั่วไป ตรงกับที่จะนำไป<br />ใช้ในการจุดระเบิด เครื่องยนต์ดีเซล แต่จะมีใครรู้บ้างว่า เรื่องของปาล์ม<br />น้ำมันและไบโอดีเซล เป็นสิ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนพระทัยและทดลองทดสอบเป็นเวลานานนับสิบๆ ปีแล้ว ผลของการทดลองทดสอบตามพระราชดำริในเรื่องนี้ประชาชนได้เห็นเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า ปาล์มน้ำมันสามารถนำมาสกัดเป็นน้ำมันปาล์มและนำมาใช้กับเครื่องยนต์ดีเซลได้ และทรงทดลองให้เห็นเป็นตัวอย่างด้วยพระองค์เองด้วยรถยนต์พระที่นั่งที่ประทับใช้เมื่อครั้งเสด็จฯไปทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์เขื่อนคลองท่าด่าน จังหวัดนครนายก เมื่อวันที่2 มิถุนายน 2544 ในวันนั้น ... รถยนต์พระที่นั่งติดสติ๊กเกอร์ท้ายรถว่ารถคันนี้ใช้น้ำมันปาล์ม 100%อีก 4 ปีต่อมา...คือในวันนี้ เครื่องยนต์ดีเซลสามารถเติมน้ำมันไบโอดีเซลได้แล้วที่โรงงานสาธิตผลิตเมทิลเอสเตอร์ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และที่สถานีจ่ายน้ำมันไบโอดีเซลที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริเรื่องนี้นับย้อนหลังไปได้ 30 ปี คือในวันที่ 9 กันยายน 2518พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จฯ ไปทอดพระเนตรสวนปาล์มน้ำมันของเกษตรกรที่นิคมสร้างตนเองควนกาหลง จังหวัดสตูล และในปีถัดมาได้เสด็จฯ อีกครั้งหนึ่ง เพื่อทอดพระเนตรโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มแบบชาวบ้านที่โรงงานของนิคมสร้างตนเองควนกาหลง จนกระทั่งในปี 2526มีพระราชกระแสที่ชัดเจนว่า ควรจะมีการส่งเสริมให้เกษตรกรสวนปาล์มรายย่อยเหล่านี้ ได้มีโอกาสรวมกลุ่มกันทำการสกัดน้ำมันปาล์มในรูปของโรงงานขนาดเล็กที่ใช้เงินลงทุนต่ำ ทรงเน้นถึงประโยชน์ของปาล์มน้ำมันในทุกๆ ส่วน และไม่ให้ทิ้งส่วนใดไปอย่างไร้ค่า เช่น ทะลายเปล่า ก็อาจนำมาทำปุ๋ย หรือเพาะเห็ด ส่วนกากปาล์มก็สามารถนำไปใช้เลี้ยงวัว ควายและปลา หรือทำเป็นเชื้อเพลิงแทนไม้ฟืนก็ได้ หากเกษตรกรสามารถแปรรูปน้ำมันดิบให้เป็นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ซึ่งสามารถผลิตเป็นน้ำมันปรุงอาหารเนยขาว เนยเทียม สบู่ และผงซักฟอกได้ ก็จะทำให้เกษตรกรมีโอกาสใช้และจำหน่ายผลผลิตเหล่านี้เพื่อกินและใช้ในท้องถิ่นของตัวเอง จากนั้น มีพระราชกระแสให้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ทำโครงการส่งเสริมอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มขนาดเล็กอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยสร้างโรงงานสาธิตสกัดน้ำมันปาล์มที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ และในปี 2528 ได้เสด็จฯ ไปทอดพระเนตรโรงงานนี้ และมีพระราชกระแสเพิ่มเติมให้สร้างโรงงานที่สหกรณ์นิคมอ่าวลึก จังหวัดกระบี่ เพื่อเป็นโรงงานสาธิตให้กลุ่มเกษตรกรสวนปาล์มรายย่อยที่มีความพร้อม จัดทำคู่มือปาล์มน้ำมันและการแปรรูปน้ำมันปาล์มเผยแพร่ รวมทั้งจัดตั้งกองทุนพัฒนาอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มขนาดเล็ก ในปี 2531 พระราชทานพระราชดำริให้จัดสร้างโรงงานสกัดและแปรรูปน้ำมันปาล์มขนาดเล็กที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดนราธิวาส อีกแห่ง โดยนำผลผลิตปาล์มน้ำมันมาสกัดเป็นน้ำมันปาล์มดิบและแปรรูปต่อเนื่องจนถึงขั้นบริโภค เน้นการสาธิตให้เกษตรกรมาศึกษาหาความรู้ และเห็นประโยชน์ว่าปาล์มน้ำมันสามารถนำมาทำอะไรได้บ้าง และเมื่อเข้าใจแล้วจะได้นำไปปลูกในพื้นที่ของตนต่อไป เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2543 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีเสด็จฯ ไปทอดพระเนตรการใช้น้ำมันปาล์มโอเลอีนบริสุทธิ์ และเมทิลเอสเตอร์เดินเครื่องจักรกลการเกษตรที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองฯ มีพระราชกระแสว่า ? พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนพระทัยเกี่ยวกับการใช้น้ำมันปาล์มผสมน้ำมันดีเซล เพื่อใช้ในเครื่องจักรกลการเกษตร ควรทดลองทำในเชิงธุรกิจลักษณะสถานีจำหน่ายในสหกรณ์นิคมอ่าวลึก จังหวัดกระบี่ และ มีพระราชประสงค์จะสนับสนุนโครงการนี้เป็นการส่วนพระองค์? การศึกษาทดลองและพัฒนาปรับปรุงกระบวนการผลิตจึงดำเนินการเรื่อยมา จนในวันนี้โรงงานทั้งสามแห่งสามารถสนองพระราชดำริได้อย่างครบถ้วน ทั้งในเรื่องการสกัดน้ำมันปาล์มดิบ การกลั่นน้ำมันปาล์มดิบเป็นน้ำมันปาล์มโอเลอีนบริสุทธิ์ ผลิตเนยขาว เนยเทียมจากไขเสตียรินบริสุทธิ์ รวมทั้งผลิตสบู่ซักล้าง สบู่ฟอกร่างกายได้ และนำไปใช้เร่งน้ำยางพาราได้เป็นผลสำเร็จที่สำคัญ การทดลองใช้น้ำมันไบโอดีเซลกับขบวนรถไฟดีเซลรางสายหาดใหญ่-สุไหงโกลก โรงงานอุตสาหกรรม รถยนต์ของมหาวิทยาลัยฯ รถลากพ่วง รถบรรทุก เครื่องจักรกลการเกษตร และบุคคลภายนอก ซึ่งได้ผลเป็นที่น่าพอใจมากและผู้ที่ได้ทดลองใช้ต่างพูดกันว่า ใช้แล้วควันรถไม่ดำ ไม่มีกลิ่นเหม็น กำลังรถดีเหมือนเดิม ส่วนรถบรรทุก 6 ล้อ กำลังรถดีกว่าเดิม การติดเครื่องยนต์เป็นปกติมีเพียงรถ 6 ล้อ และเครื่องสูบน้ำที่ต้องสตาร์ท 2 ครั้ง เมื่อราคาน้ำมันดีเซลในปัจจุบันมีการปรับตัวสูงขึ้นตามกลไกตลาด และเงื่อนไขบางอย่างที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ทำให้มีผู้มาขอซื้อน้ำมันไบโอดีเซลเป็นจำนวนมากขึ้น จนโรงงานผลิตไม่ทันจำหน่าย ทำให้มหาวิทยาลัยฯ และศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองฯ มีแผนงานที่จะขยายกำลังผลิตเพิ่มขึ้น เพื่อให้ทันแก่ความต้องการของผู้ใช้ และเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม ที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชกระแสเกี่ยวกับน้ำมันปาล์มเพิ่มเติมอีกว่า "...น้ำมันปาล์มทราบว่าดีเป็นน้ำมันที่ดีใช้งานได้ ใช้บริโภคแบบใช้น้ำมันมาทอดไข่ได้ มาทำครัวได้ เอาน้ำมันปาล์มมาใส่รถดีเซลได้ กำลังของน้ำมันปาล์มนี้ดีมากได้ผล เพราะว่าเมื่อได้มาใส่รถดีเซลไม่ต้องทำอะไรเลย ใส่เข้าไป แล่นไป คนที่แล่นตามบอกว่าหอมดี... " ณ วันนี้ ... ปาล์มน้ำมันจึงกลายเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีผู้สนใจที่จะปลูกกันมากขึ้น แม้ว่า ปาล์มน้ำมันจะเป็นพืชยืนต้นที่ทนทานต่อภัยธรรมชาติ แต่มีสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงควบคู่ไปด้วย ก็คือ ความเหมาะสมของสภาพพื้นที่ สภาพอากาศ ความชื้น และยังต้องระมัดระวังสายพันธุ์ที่จะปลูกด้วย มิฉะนั้นแล้ว สิ่งที่ลงทุนไปทั้งหมดนั้น ก็อาจจะไม่คุ้มค่าและคุ้มทุนได้ ทั้งหมดนี้คือ พระอัจฉริยภาพในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมองเหตุการณ์ไปไกลเกินกว่าที่ใครๆ จะนึกถึงกัน ทรงมองเห็นคุณค่าของปาล์มน้ำมัน ซึ่งเป็นพืชวัตถุดิบที่มีในบ้านเมืองเราที่มีศักยภาพจะใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทนได้ในยามที่ทั่วโลกจะต้องพึ่งพาเมื่อถึงภาวะวิกฤติทางด้านน้ำมัน และทรงอดทนรอผลแห่งความสำเร็จของกระบวนการพัฒนาจนกลายเป็นไบโอดีเซลมาอย่างยาวนาน ก่อนที่จะมีการตระหนักถึงความสำคัญของพลังงานทดแทนกันอย่างกว้างขวาง ในขณะนี้พระราชดำริเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ประสบชัยชนะแห่งการพัฒนาแล้ว...ในวันนี้</div>sumaleehttp://www.blogger.com/profile/09520391299368706291noreply@blogger.com0